Click Through Rate หรือที่เรียกอีกชื่อว่า CTR เป็นคำที่ทุกคนที่อยู่ในวงการของ Digital Marketing หรือพวกนักการตลาดทั้งหลายน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะ CTR เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการวัดผลในการตลาดออนไลน์ แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบถึงความหมายและความสำคัญของ CTR
Click Through Rate หรือ CTR คือ อัตราการคลิกโฆษณาหรือเว็บไซต์ ว่ามีจำนวนคลิกบ่อยแค่ไหน ยิ่งมีค่า CTR สูง ยิ่งแสดงให้เห็นว่าโฆษณาของคุณ สามารถดึงดูดและได้รับความสนใจจนทำให้ลูกค้าเกิดการคลิกเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ซึ่งสูตรในการคำนวณคือ
Click Through Rate = (Click / Impressions) x 100
หรือ
อัตราคลิก = (จำนวนการคลิก / จำนวนการแสดงผล) x 100
แล้ว Click Through Rate หรือ CTR ดีอย่างไร ทำไมนักการตลาดถึงต้องรู้จัก?
ข้อดีก็คือทำให้นักการตลาดอย่างเราสามารถวัดผลโฆษณา, วัดผลตัวคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เราต้องจ่ายเงินไป ว่าได้ผลหรือสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้หรือเปล่า เมื่อมีข้อมูลตัวเลขของ CTR ชัดเจนก็จะทำให้เราไม่สูญเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ หากตัวคอนเทนต์ของเราสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาดูกันเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้เราสามารถวางแผนการตลาด วางแผนการทำคอนเทนต์ได้ต่อว่าควรไปในทิศทางไหน ควรปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมบ้าง
การวิเคราะห์ค่า Click Through Rate นั่น ส่วนใหญ่จะถูกวิเคราะห์โฆษณาจาก 2 ช่องทาง คือ Facebook Ads และ Google Ads
สำหรับใครที่อยากดูค่า CTR ของช่องทาง Facebook Ads สามารถดูได้จากข้อมูลของทางหลังบ้าน หรือเครื่องมือที่มีชื่อว่า Facebook Ads Manager
สำหรับใน Google Ads จะมีโฆษณาประเภทหนึ่งที่มีชื่อว่า “Pay Per Click” หรืออีกชื่อ “PPC” คือ การลงโฆษณาในหน้าแรกของ Google Search โดยต้องกำหนด Keyword ที่จะใช้ในการโปรโมท และจะถูกหักค่าใช้จ่ายต่อการคลิก หรือที่เรียกว่า Cost Per Click (CPC)
ซึ่งโฆษณาประเภทนี้ การคิดค่า CTR ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะทุกการคลิกเข้ามานั้นมีค่ามหาศาล การเช็ก Keyword และพัฒนาคอนเทนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางทีอาจจะมีคนคลิกเข้ามาดูทำให้เราเสียค่าใช้จ่าย แต่ไม่เกิดการ Action ไม่เกิดรายได้ ถือว่าเป็นผลเสียต่อธุรกิจของเรา
ข้อมูลจาก : https://stepstraining.co/content/what-is-click-through-rate?utm_source=facebook&utm_medium=longform&utm_campaign=what-is-click-through-rate
Comments